บทความที่ได้รับความนิยม

วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Hyundai Santa Fe 2013 สุดเเรงรถเกาหลี


Hyundai Santa Fe 2013 สุดเเรงรถเกาหลี

 เรายังคงมีเรื่องของวงการยานยนต์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจมาฝากคุณผู้อ่านกันอย่างต่อเนื่อง มาล่าสุดสำหรับค่ายรถยนต์ชื่อดังสัญชาติกิมจิอย่าง "ฮุนได" (Hyundai) ก็ได้เปิดตัวรถรุ่นล่าสุดของพวกเขา ด้วยรถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์ที่คุ้นกันดีในชื่อของ "ซานตาเฟ่" (Santa Fe)

Hyundai Santa Fe 2013 ดุดัน เครื่องแรง โดนใจ


          ที่ทุกท่านเห็นอยู่นี้ คือ ซานตาเฟ่ รุ่นปี 2013 (All-New Santa Fe, Third generation) รถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ทางฮุนไดได้เปิดตัวให้บรรดาสื่อมวลชนของเกาหลีใต้ ได้ยลโฉมกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา โดย ซานตาเฟ่ รุ่นปี 2013 นี้มาด้วยคอนเซ็ปท์ที่เน้นในเรื่องของความปราณีต สง่างาม และเด่นในด้านการใช้งาน

Hyundai Santa Fe 2013 ดุดัน เครื่องแรง โดนใจ

          ทั้งนี้ ซานตาเฟ่ รุ่นปี 2013 มีจุดเด่นที่เห็นชัดและชวนดึงดูดสายตาไม่น้อย กับดีไซน์ที่เรียกกันว่า "Storm Edge" ซึ่งเป็นการดีไซน์ที่ได้รับการต่อยอดด้านการออกแบบของทางฮุนไดโดยเฉพาะ ซึ่งผลที่ได้คือภายนอกที่ดูโฉบเฉี่ยวและดุดันไม่น้อยเลยทีเดียว

Hyundai Santa Fe 2013 ดุดัน เครื่องแรง โดนใจ


          ในส่วนของขุมพลังทั้งหลายนั้น ซานตาเฟ่ รุ่นนี้มีเครื่องยนต์ให้เลือก 3 รุ่น ไม่ว่าจะเป็น เครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร 4 สูบ 190 แรงม้า ตามด้วยเครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร 4 สูบแถวเรียงพ่วงเทอร์โบ ให้กำลังที่ 264 แรงม้า และ เครื่องยนต์ขุมพลัง V6 ขนาด 3.3 ลิตร ซึ่งทำกำลังได้มากสุดแบบเน้น ๆ ที่ 290 แรงม้า โดยทุกรุ่นจะมาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมอ็อพชั่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ในทุกรุ่นไว้สำหรับเป็นทางเลือกสำหรับคนที่เป็นขาลุยโดยเฉพาะ



          สำหรับราคาค่าตัวนั้น ณ ตอนนี้ยังไม่มีการแจ้งข้อมูลออกมาให้ทราบกัน แต่ที่แน่ ๆ คือทางฮุนไดมีแผนวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการสำหรับตลาดในประเทศตั้งแต่ช่วงสิ้นเดือนเมษายนนี้เป็นต้นไป พร้อมตั้งเป้าจ่อไปด้วยว่า จะขายซานตาเฟ่รุ่นนี้ได้ 152,000 คันภายในปีนี้อีกด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ซูบารุ ฟอเรสเตอร์ SUV ความคุ้มค่า

ซูบารุ ฟอเรสเตอร์ SUV ความคุ้มค่า

  แม้จะเปิดตัวขายในญี่ปุ่นไปแล้วสำหรับ “ ฟอเรสเตอร์ “ รุ่นใหม่ที่เป็นเจนเนอเรชั่นที่ 4 และขณะนี้กำลังยืนอวดโฉมอยู่ที่งาน “แอลเอ มอเตอร์โชว์ 2012” สำหรับตลาดในเอเชียซูบารุเลือกประเทศไต้หวัน (วันที่ 5 ธ.ค.) เปิดตัว ฟอร์เรสเตอร์ รุ่นใหม่


      


       ฟอเรสเตอร์ ใหม่ เปลี่ยนบุคลิกมาเป็น SUV อย่างเต็มตัว พร้อมกับเปลี่ยนรูปแบบและสไตล์ของตัวรถมาเป็นแบบยกสูง และเน้นความบึกบึน แต่ยังไม่ทิ้งกลิ่นอายของสมรรถนะในการขับขี่ โดยรุ่นใหม่มากับตัวถังแบบ 5 ประตูที่มีความยาว 4,595 มิลลิเมตร กว้าง 1,795 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,640 มิลลิเมตร


       รุ่นนี้มากับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบนอน ทวินแคม 16 วาล์ว 2,000 ซีซี ซึ่งมีให้เลือก 2 แบบ คือ รุ่นธรรมดา มีกำลังสูงสุด 148 แรงม้า ที่ 6,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 20.0 กก.-ม. ที่ 4,200 รอบ/นาที และรุ่นเทอร์โบที่ใช้ระบบ Di หรือ Direct Injection และเทอร์โบแบบ Twin-Scroll เข้าไป ซึ่งรีดกำลังออกมาได้ 280 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 35.7 กก.-ม. ที่ 2,000 รอบ/นาที เลือกส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVT ที่ซูบารุเรียกว่า Lineartronic หรือจะเป็นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะก็ได้


     
       ส่วนระบบขับเคลื่อนมีแบบเดียวเป็นแบบ AWD หรือ 4 ล้อตลอดเวลา พร้อมโหมดที่เรียกว่า X-Mode ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับบนถนนที่ลื่น หรือบนเส้นทางออฟโรดที่วิบากในระดับหนึ่ง ซึ่งในระบบนี้จะมีการติดตั้งระบบ HDC หรือ Hill Descent Control ทำหน้าที่ในการควบคุมความเร็วให้อยู่ในระดับต่ำมาก จนเกือบจะเป็น Walking Speed ในการลงทางลาดชันมากๆ เพื่อความปลอดภัย



       ฟอเรสเตอร์เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่เปิดตัวในปี 1997 และได้รับการพัฒนาขึ้นมาโดยอิงพื้นฐานของคอมแพ็กต์คาร์อย่างอิมเพรซา แต่สามารถตอบสนองความอเนกประสงค์ด้วยตัวถังในสไตล์กึ่งๆ แวกอน และไม่ได้ยกสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับ SUV ที่อยู่ในตลาด ซึ่งทางซูบารุใช้แนวทางนี้ในการทำตลาดให้กับ 2 รุ่นแรกจนได้รับการตอบรับที่ดี
     
       แม้รูปลักษณ์และแนวคิดของตัวรถจะถูกเปลี่ยนไปตั้งแต่เจนเนอเรชั่นที่ 3 ซึ่งเปิดตัวในปี 2008 แต่ทว่าซูบารุก็ยังคงคอนเซ็ปต์ของการเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ที่ร้อนแรงเอาไว้ให้กับฟอเรสเตอร์ ในรุ่นใหม่ที่จำหน่ายในญี่ปุ่น มากับเครื่องยนต์เทอร์โบบล็อกใหม่ที่มีกำลังสูงถึง 280 แรงม้าเลยทีเดียว
     
       ค่าตัวของฟอเรสเตอร์ใหม่ในญี่ปุ่นอยู่ที่ 2,089,500-2,936,800 เยน หรือราวๆ 850,000-1,100,000 บาท ส่วนบ้านเรามีขายแน่ คาดว่าจะเปิดตัวต้นปีหน้าราคารุ่นเริ่มต้นประมาณ 1.9 ล้านบาท

บทความจาก ผู้จัดการ คลิปจาก youtube

วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

รถยนต์ที่เเพงที่สุดปี 2013

รถยนต์ที่เเพงที่สุดปี 2013

อันดับ 10 Jarguar XJ

 ราคาจิ๊บๆ สำหรับเศรษฐี เริ่มต้นที่ตัวเลข 12.2 ล้านบาท สำหรับ ยานยนต์สัญชาติอังกฤษคันนี้ ที่พกความหรูหรามาแบบเต็มคราบ กับความงามที่ยากจะหาใครเทียบเคียง แม้จะงานขนาดนี้แต่ก็แรงใช่เล่นกับ เครื่องยนต์ V8 ขนาด 5.0 ลิตร ให้กำลัง 385 แรงม้า จับคู่ระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด



 อันดับที่ 9 Lexus LS 460

 ขยับขึ้นมาเป็นค่ายพรีเมี่ยมแบรนด์จากรถยนต์คนไทยชอบ นำเสนอรถยนต์ Lexus 460 มาให้เราได้สัมผัสกัน ในเส้นสายความปราณีตที่หาที่สุดไม่ได้ไฟหน้ามาพร้อมไฟแบบ LED 8 ดวง ใต้ฝากระโปรง เน้นหนักในเรื่องของความแรงแบบเปี่ยมสมรรถนะจากเครื่องยนต์ V8 4.6 ลิตรให้กำลังสูงสุด 380 แรงม้า เร่ง 0-100 ก.ม./ ช.ม. ทันใจเพียง 5.7 วินาที ส่วนเรื่องความหรูหายห่วงเพราะนี่เป็นรุ่นใหญ่ของค่าย เคาะราคาขายแค่ 12.8 ล้านบาท

 อันดับที่ 8 Porsche 911 Carrera S

 จากหรูมาดูสปอร์ตกันบ้างกับค่ายรถยนต์ชั้นนำ อีกหนึ่งที่มาพร้อมการนำสเนอสมรรถนะระดับซุปเปอร์ ที่สามารถใช้งานได้ทุกวัน กับเอกลักษณ์ หน้ากบของค่ายรถยนต์ Porsche ที่จัดการยกเครื่องตั้งแต่โครงสร้างอลูมิเนียมใหม่ ให้เบาหวิวบวกระยะฐานล้อเพิ่มขึ้นอีก 100 ม.ม. และยังลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิเสียดทานเพียง 0.29 Cd แต่ที่ขับสนุกจริงเป็นเครื่องยนต์แบบ Flat 6 3.8 ลิตร ให้กำลัง 400 แรงม้า เร่งสะใจ 0-100 ก.ม./ช.ม. ใน เวลาเพียง 3.9 วินาที ส่วนราคาก็แรงพอกับความเร็ว จัดไป 16 ล้านบาทเท่านั้น

 อันดับที่ 7 Bentley Continental GT


ชื่อนี้เรียกว่าทั้งหรูและแรง สำหรับรถยนต์ Bentley รถจากแดนผู้ดีที่ระห่ำได้ใจจากเวอร์ชั่นหรู สู่เวอร์ชั่นทั้งหรูและแรงกว่าทั่วไป พกเครื่องยนต์ V8 ให้กำลัง 500 แรงม้า พร้อมทะยานความหรูแบบสะใจ จนซุปเปอร์คาร์ต้องเหลียวหลังกับตัวเลข 0-100 ก.ม./ช.ม. ใน 5 วินาทีกว่า ความเร็วปลายก็ทำได้ดีไม่แพ้กันถ้ากล้าเหยีบก็ทำได้ 290 ก.ม./ช.ม. แต่ที่พูดมาทั้งหมดนี้คุณต้องจ่ายราคา 18.9 ล้านบาทเป็นค่าตัว

อันดับที่ 6 Lamborghini Gallardo LP560- Spider

 เจ้ากระทิงดุค่ายรถยนต์ซุปเปอร์คาร์เป็นที่รู้จักกันดีเริ่มต้นด้วยอันดับ6 ในการรับลมชมวิวแบบสปอร์ตพันธุ์แท้ในสไตล์ Spyder ที่คัดสรรวัสดุเกรดดี เรียกว่าไม่ต้องบรรยายสรรพคุณความแรง ส่วนเจ้าตัวนี้ทำความเร็วสูงสุดได้ 325 ก.ม./ช.ม. มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมพลัง 560 แรงม้า แต่ราคาก็แรงตามรถ เคาะขายที่ 23.5 ล้านบาท

 อันดับที่ 5 Lamborghini Gallardo LP 570-4 Superleggera

กระทิงดุอีกคันจากงานมอเตอร์โชว์ 2012 ที่ค่ายรถยนต์เจ้านี้ภูมิใจนำเสนอความแรงเต็มพิกัด กับ 570 แรงม้า ที่ฟังดูไม่ต่างจากอันดับที่ 6 ของเรา แต่ มันเจ๋งกว่า เมื่อคุณรู้ว่าพลังทั้งหมดของมันแบกน้ำหนักเพียง 1340 ก.ก. ทำตัวเลข 0-100 ก.ม./ช.ม. ในเวลาเพียง 3.4 วินาที แต่ราคาก็อัพไปอีก ถ้าอยากได้หยอดกระปุกเอาไว้ให้ได้ 25.5 ล้านบาทแล้วมาว่ากันอีกที

อันดับที่ 4 Rolls-Royce Ghost Extended Wheelbase

ในที่สุดมันก็มาโผล่ที่ไทย สำหรับค่ายถยนต์พันธุ์หรูตัวจริงเสียงจริงในนาม Rolls-Royceแม้แต่เศรษฐีกระเป๋าตุง อาเสี่ยกระเป๋าหนักยังมีร้องจ้าก!! เมื่อเจอราคา โดยในรุ่นนี้ที่ภูมิใจนำเสนอ มันมาพร้อมเครื่องยนต์แบบ V12 ขนาด 6.6 ลิตร ปั่นฝีเท้าด้วยเทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุด 563 แรงม้า และขับสนุกด้วยเกียร์อัตโนมัติ ZF 8สปีด เคาะราคาจนตัวคุณเบาหวิวเมื่อควักเงินจ่ายที่ 27.9 ล้านบาท

อันดับที่ 3 Bentley Mulsanne 2012

อีกคันจากค่ายรถยนต์ Bentley ให้ความหรูหราระดับที่คุณต้องประทับใจ แต่ความประทับใจนี้ต้องใช้เงินถึง 33.6 ล้านบาท จึงจะได้สัมผัส พระราชวังที่สามารถเคลื่อนที่ได้ ประณีตสุดๆในการออกแบบ และการเลือกวัสดุชั้นดี โดยทั้งหมดไม่ได้เน้นเรื่องแรงมาก แต่ก็จัดขุมพลัง V8 6.8 ลิตร ให้กำลัง 505 แรงม้า พร้อมอภิมหาแรงบิด 1,020 นิวตันเมตร และแม้รถคันนี้ จะหรูหราแต่ความเร็วปลายก็ยังซิ่งได้ถึง 296 ก.ม./ช.ม.

อันดับที่ 2 Lamborghini Aventador LP700-4

เป็นที่ฮากันทั้งโลกไซเบอร์กับชื่อรถคันนี้ ที่มีฝรั่ง แกะคำของค่ายกระทิงดุว่า A Vent และ A door กลายมาเป็นชื่อของรถคันนี้ จริงๆนั่นก็เป็นมุกตลกขำๆ แต่จะไม่ขำ ถ้าคุณจะซื้อรถคันนี้ที่มีราคาค่าตัวกว่า 36.5 ล้านบาท แรงสั่งได้จากเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร 700 แรงม้า ขับสนุกด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เร่งแรงถึงใจ 0-100 ก.ม. ใน 2.9 วินาที และทำความเร็วสุงสุด 350 ก.ม./ช.ม.

อันดับที่ 1 Rolls-Royce Phatom Drophead Coupe

รถหรูสำหรับท่านผู้นำก็ต้องคันนี้ ที่ไม่รู้ท่านผู้นำเราได้ไปเหมามาเข้าคอลเลคชั่นหรูรึปล่า แต่รถคันนี้คือที่สุดแห่งที่สุดความหรู และแพงในงานมอเตอร์โชว์ 2012 ด้วยราคา 37.9 ล้านบาท มาในแบบรถคูเป้อาจดูเหมือนสปอร์ต แต่ที่นั่งแบบ 2 +2 มาพร้อม 4ประตู ที่ใต้ฝากระโปรงพกเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.75 ลิตร ตอบสนองกำลังสูงสุด 453 แรงม้า ให้แรงบิด 720 นิวตันเมตร เร่ง 0-100 ใน 6 วินาที ฟังดูมันอาจจะไม่แรงนัก แต่ถ้าเรื่องหรู คงต้องยกให้ไปเลย

วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Hyundai H-1 Deluxe สเปค

 Hyundai H-1 Deluxe สเปค 


ฮุนได H-1 ถือได้ว่าเป็นรถธงจากแดนกิมจิ ที่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย แล้วประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยโกยยอดขายแบบถล่มทลายจากรุ่นแรก มาจนถึงปัจจุบัน ด้วยยอดขายกว่า 10,000 คัน และล่าสุด ฮุนได ได้เผยโฉม The New Hyundai H-1 Series 2012 ที่มาพร้อมกับความหรูหรา สมรรถนะที่โดดเด่น และความประหยัดอย่างเหนือชั้น



The New Hyundai H-1 Series 2012 ได้รับการปรับแต่งให้มีแรงบิดที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 392 นิวตันเมตร เป็น 441 นิวตันเมตร ในรุ่น H-1 Deluxe และ H-1 Executive เพื่อให้มีสมรรถนะที่ดีขึ้นกว่าเดิม ขณะที่ H-1 Touring เกียร์ธรรมดา ก็ได้รับการปรับแต่งในเรื่องของสเปกให้เหมาะกับการใช้งานที่หนัก แต่เน้นการประหยัดที่มากขึ้น




สำหรับ H-1 ที่ผู้เขียนได้นำมาทดสอบคือ H-1 Deluxe เครื่องยนต์ดีเซล 2,500 ซีซี เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด สัมผัสแรกที่เห็นต้องยอมรับว่ารูปโฉมมีความล้ำสมัย สวยงามไม่แพ้แบรนด์จากญี่ปุ่น หรือยุโรป กันเลยทีเดียว กระจังหน้าตกแต่งด้วยโครเมียม พร้อมชุดแต่งด้านข้างรอบคัน กันชนหน้า-หลังสีทูโทน พร้อมไฟตัดหมอกคู่หน้า และเพิ่มความปลอดภัยด้วยการติดตั้งไฟเบรกดวงที่ 3 ช่วยให้มองเห็นได้ในระยะไกล ขณะที่ภายในเลือกใช้วัสดุชั้นเยี่ยม



คอนโซลและสีภายในเป็นสีเบจทูโทน พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่น พร้อมหัวเกียร์ตกแต่งด้วยวัสดุสีเมทัล แผงปรับอากาศสีเมทัลพร้อมลายไม้ แยกการควบคุมหน้า-หลัง เบาะนั่งหนังแท้ มีทั้งหมด 12 ที่นั่ง โดยแถวที่สองสามารถหมุนได้ แถวที่สามและสี่ปรับเอนและเลื่อนได้ นอกจากนี้แถวที่สี่ยังสามารถพับเก็บได้เมื่อต้องการบรรทุกสิ่งของ ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกก็มีให้ครบครัน อาทิ ประตูห้องโดยสารเปิดสไลด์สองข้าง พร้อมกระจกแบบเลื่อนได้ และกล้องมองภาพด้านหลัง พร้อมเส้นกะระยะ เป็นต้น



ช่วงการทดสอบ ผู้เขียนพาสมาชิกในครอบครัวที่มีอยู่ด้วยกัน 6 คน ไปพักผ่อนต่างจังหวัด การขับขี่ในเมืองถึงแม้ว่าจะเป็นรถเอ็มพีวีขนาดใหญ่ แต่ด้วยสมรรถนะของเครื่องยนต์ ที่ปรับแต่งให้มีแรงบิดเพิ่มขึ้น ทำให้การออกตัวเป็นไปอย่างไหลลื่น ไม่อืดอาดเหมือนรถในเซ็กเมนท์เดียวกัน ในบางเวลาถึงแม้ว่ารถจะติด ก็ไม่ทำให้น่าเบื่ออีกต่อไป เพราะสามารถดูหนัง ฟังเพลงผ่านจอ LCD ที่ติดเพดานห้องโดยสารได้ ขณะที่การขับขี่นอกเมืองให้ความคล่องตัวดี เบาะนั่ง



หนังแท้ นั่งสบายทุกที่นั่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ หรือผู้โดยสารก็ตาม ระบบปรับอากาศแยกหน้า-หลัง ให้ความเย็นได้อย่างทั่วถึง

ระบบช่วงล่างของ H-1 Deluxe ด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัท ด้านหลังคอยล์สปริง พร้อมแขนยึด 5 จุด ให้การยึดเกาะถนนได้ดี เวลาขับขี่เข้าโค้ง ไม่มีอาการโยนแม้แต่นิดเดียว ขณะที่พวงมาลัยเพาเวอร์ก็ช่วยให้การขับขี่สะดวกมากขึ้น ในส่วนของล้ออัลลอยเป็นแบบสปอร์ต มาพร้อมกับยางขนาด 215/70 R16 ก็เหมาะสมกับตัวรถได้ดี


ด้านความปลอดภัยมั่นใจได้ นอกจากจะมีถุงลมนิรภัยคู่หน้า ระบบเบรก ABS พร้อมดิสก์เบรกทั้งสี่ล้อแล้ว ฮุนไดยังมีจุดเด่นในเรื่องแชสซีที่มีความหนาและเหนียวเป็นพิเศษ ทั้งนี้เป็นเพราะฮุนไดเป็นบริษัทผลิตรถยนต์เบอร์หนึ่งของเกาหลี ที่มีโรงงานถลุงเหล็กเป็นของตนเอง ซึ่งสามารถเลือกใช้วัสดุที่ดีแต่มีราคาถูกได้

สรุปแล้ว H-1 Deluxe ถือได้ว่าเป็นรถยนต์เอ็มพีวีหรู ระดับพรีเมียม ที่มีจุดเด่นทั้งในด้านสมรรถนะ และประหยัดน้ำมัน เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน รวมทั้งราคาที่ดึงดูดใจเพียง 1,524,000 บาท น่าจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม

 ที่มา เเนวหน้า

วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555

All New Isuzu D-MAX น่าซื้อหรือเปล่า

All New Isuzu D-MAX น่าซื้อหรือเปล่า

 อีซูซุเปิดตัวปิกอัพรุ่นใหม่ "อีซูซุดีแมคซ์ รุ่นใหม่หมด" เริ่มวางจำหน่าย 14 ตุลาคมนี้ 




          เมื่อวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา มร. ฮิโรชิ นาคางาวะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์จำกัด ได้เปิดตัวปิกอัพรุ่นใหม่ "อีซูซุดีแมคซ์ รุ่นใหม่หมด" (the All-new Isuzu D-Max) ที่เป็นการพลิกโฉมหน้าปิกอัพรุ่นใหม่ ด้วยการผสานเทคโนโลยีอากาศพลศาสตร์และเทคโนโลยียานล้ำสมัย ความเร็วประหนึ่งรถไฟหัวกระสุน กำหนดมาตรฐานใหม่ อีกทั้งคิดค้นและสร้างสรรค์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้รถปิกอัพทั่วโลกอย่างแท้จริง



          โดยคนไทยจะได้สัมผัสรถรุ่นใหม่นี้ก่อนประเทศใดในโลก ที่ซึ่งมีการเปิดตัว The All New Isuzu D-MAX ในรอบสื่อมวลชนไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวานนี้ (29 กันยายน) ที่อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี และจะเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่ 14 ตุลาคมนี้เป็นต้นไป สนนราคาเริ่มต้น รุ่นสปาร์ค ตอนเดียว ราคา 465,000 บาท ส่วนรุ่นท็อป วี-ครอส 4 ประตู ราคา 994,000บาท


งานเปิดตัว Isuzu 2012 หรือ All new Isuzu D-Max

งานเปิดตัว Isuzu 2012 หรือ All new Isuzu D-Max

งานเปิดตัว Isuzu 2012 หรือ All new Isuzu D-Max

งานเปิดตัว Isuzu 2012 หรือ All new Isuzu D-Max

คุณสมบัติพิเศษของอีซูซุดีแมคซ์ใหม่
 รูปลักษณ์ภายนอก
          สำหรับอีซูซุ ดีแมคซ์ โฉมใหม่นั้น มาพร้อมกับรูปลักษณ์แนวสปอร์ต มีการดีไซน์ด้านหน้าให้เป็นแบบสามมิติ เพิ่มความชัดในการมองเห็น มีไฟหน้าขนาดใหญ่ และไฟท้ายแบบ LED ซึ่งเป็นครั้งแรกของวงการรถกระบะที่มีการนำเอาไฟแบบ LED มาใช้ และตัวถังแค็ปเปิดได้
 ห้องโดยสาร
          เป็นการดีไซน์แบบ "DELUXE CAPSULE" ผสานกับ "UNIVERSAL DESIGN" ทำให้ห้องโดยสารมีขนาดใหญ่ สะดวกสบายเหมาะสมกับทุกสรีระ ส่วนเบาะนั่งคนขับสามารถปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง 
 แผงหน้าปัด
          ดีไซน์แผงหน้าปัดขนาดใหญ่แบบ Super Vision ที่แสดงข้อมูลการขับขี่ได้หลากหลายรูปแบบ แถมยังมีโหมดภาษาไทยให้เลือกด้วย ซึ่งปรับเปลี่ยนได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว และปรับความสว่างได้อัตโนมัติ
 ระบบเสียง
          ติดตั้งระบบเสียงเป็นแบบ "SURROUND SOUND" สูงสุดถึง 8 ลำโพง มีลำโพงคู่หน้าขนาดใหญ่พิเศษ FULL-SIZE 6x9 นิ้ว และลำโพง EXCITER ติดตั้งบนเพดาน ช่วยให้เสียงสมจริงทุกรายละเอียด พร้อมฟังก์ชั่นปรับระดับเสียงโดยอัตโนมัติตามความเร็วของรถ

Isuzu 2012 หรือ All new Isuzu D-Max
 เครื่องยนต์

          สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรลใหม่ 2500 Ddi VGS TURBO หรือเทอร์โบแปรผัน สามารถรีดกำลังสูงสุด 136 แรงม้าที่ 3,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,800 รอบต่อนาที ส่วนเครื่องยนต์  2500 Ddi TURBO รีดกำลังสูงสุดได้ 116 แรงม้าเท่าเดิม และหากเป็นเครื่องยนต์ 3000 Ddi VGS TURBO จะให้กำลังสูงสุด 177 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 380 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,800 รอบต่อนาที

 เกียร์
          ปรับเกียร์ใหม่เป็นเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด พร้อม "REV-TRONIC" ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกเปลี่ยนเกียร์ได้ตามใจ และเกียร์ธรรมดา 5 สปีด แบบ "SPORT-SHIFT" ช่วยให้เข้าเกียร์ง่ายจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ไหลลื่น

 ล้อและช่วงล่าง
          ขยายฐานและความกว้างของล้อให้ใหญ่ขึ้น กระจายน้ำหนักได้สมดุลขึ้น ด้วยการจัดตำแหน่งเครื่องยนต์ใหม่ให้อยู่เยื้องหลังล้อคู่หน้า พร้อมแชสซีส์ขนาดใหญ่ในรถระดับเดียวกัน ส่วนช่วงล่างได้รับการออกแบบมาให้เป็นแบบอิสระปีกนก 2 ชั้นพร้อมคอยส์สปริง และแหนบขนาดยาวพิเศษในช่วงล่างหลัง เพื่อให้ยึดเกาะถนนได้ดีขึ้น

 ระบบความปลอดภัย
          มั่นใจได้ด้วยระบบความปลอดภัยแบบป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุ ด้วยเบรก ABS พร้อม EBD และ BA นอกจากนี้ยังมีระบบควบคุมการทรงตัว ESC และระบบป้องกันล้อหมุนฟรีขณะออกตัว ประกอบกับหม้อลมเบรกขนาดใหญ่พิเศษ 10.5 นิ้ว พร้อม TIED-BAR ดิสก์เบรกหน้าขนาดใหญ่ 300 มิลลิเมตร พร้อมคาลิปเปอร์แบบลูกสูบคู่

          ที่สำคัญ อีซูซุดีแมคซ์โฉมใหม่ยังมาพร้อมกับระบบความปลอดภัยแบบป้องกันขณะเกิดอุบัติเหตุ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบเหล็กกล้า ที่ผลิตจากเหล็กหนาพิเศษ และตัวถังแบบซูเปอร์ สเปซแค็บ (SUPER SPACECAB) บานแค็บเปิดได้ (ตู้กับข้าว)
 อื่น ๆ
          - แกนพวงมาลัย และแป้นเบรกแบบยุบตัวได้ 
          - เข็มขัดนิรภัยมีกลไกดึงกลับอัตโนมัติ 
          - มีระบบล็อกประตูอัตโนมัติ ซึ่งจะทำงานทันที เมื่อรถวิ่งได้ความเร็วประมาณ 20-25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 
          - ระบบป้องกันกระจกหนีบ (WINDOW JAM PROTECTION) ด้านคนขับ 
          - เทคโนโลยี "ISUZU INSIGHT" ช่วยประมวลผลและวิเคราะห์พฤติกรรมการขับขี่แบบเฉพาะตัว ทำให้การขับขี่ปลอดภัย และประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้น

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

Land Rover Range Rover รุ่นใหม่ล่าสุด


Land Rover Range Rover  รุ่นใหม่ล่าสุด
  ทิ้งระยะเวลาร่วม 10 ปี ในที่สุด แลนด์ โรเวอร์ ก็มีอะไรใหม่ๆ ให้กับเอสยูวีระดับลักซัวรี่ของตัวเองอย่าง “เรนจ์โรเวอร์” แล้ว เมื่อเผยภาพของรุ่นใหม่แกะกล่องที่เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในงานที่ปารีส และจากนั้นจะเริ่มขายในยุโรปทันที ก่อนทยอยเปิดตัวในอีก 160 ประเทศทั่วโลก

land rover range rover sport
ในรุ่นใหม่นี้เป็นเจนเนอเรชันที่ 4 นับตั้งแต่ชื่อของเรนจ์โรเวอร์ เป็นที่รู้จักกันของนักขับทั่วโลกมาตั้งแต่ปี 1970 เพื่อเจาะตลาดเอสยูวีระดับหรู ส่วนในรุ่นที่กำลังนับถอยหลังเตรียมเลิกทำตลาดเปิดตัวเมื่อปี 2002 และถือเป็นเรนจ์โรเวอร์รุ่นแรก ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาภายใต้เจ้าของใหม่อย่างบีเอ็มดับเบิลยู ก่อนที่กิจการของแลนด์โรเวอร์จะถูกขายออกไปให้กับฟอร์ดในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่เรนจ์โรเวอร์ใหม่รุ่นนี้เปิดตัวออกมา
     สำหรับรุ่นใหม่มีรหัสของการพัฒนา คือ L405 และถูกพัฒนาภายใต้เจ้าของใหม่อย่างทาทาแห่งอินเดีย มาพร้อมกับตัวถังแบบ 5 ประตูที่เน้นน้ำหนักตัวที่เบาขึ้นด้วยการใช้อะลูมิเนียมในการผลิตชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้า และโครงสร้างของแชสซีส์ด้านท้ายของตัวรถ และจากการนำอะลูมิเนียมมาใช้ในการผลิตตัวถังทำให้ตัวรถมีน้ำหนักเบาลงประมาณ 39% หรือคิดเป็น 420 กิโลกรัมเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นที่ใกล้เคียงกันในตัวถังที่แล้ว

        ขณะที่รูปลักษณ์ภายนอกของตัวรถหันมาเน้นการผสมผสานแนวคิดของความเป็นรถสปอร์ตเข้ากับสมรรถนะในการบุกตะลุยบนเส้นทางวิบาก และยังแฝงเอาไว้ด้วยความหรูหราในทุกรายละเอียด ส่วนในแง่ความทนทานนั้น ทางแลนด์โรเวอร์ บอกว่า ไม่ต้องกังวลเพราะโปรเจ็กต์นี้มีการนำเรนจ์โรเวอร์ใหม่ออกวิ่งทดสอบจริงตามสถานที่ต่างๆ ทั่วโลกมากกว่า 20 ประเทศ เพื่อให้เผชิญหน้ากับความหลากหลายประเภท
ทางเลือกของเครื่องยนต์จะมี 3 รุ่น จากขุมพลัง 2 แบบ คือ เบนซิน แบบ วี8 และเทอร์โบดีเซล แบบ วี6 และ วี8 ในรุ่น TDV6 และ SDV8 ซึ่งให้ทั้งสมรรถนะ ความประหยัดน้ำมัน และการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต่ำ

ปอร์เช่ 911 คาร์เรร่า 4 สเปค ราคา


ปอร์เช่ 911 คาร์เรร่า 4 สเปค ราคา
     ปอร์เช่ เตรียมเปิดตัว 911 คาร์เรร่า 4 (911 Carrera 4) ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ active all-wheel drive system และระบบ PTM (Porsche Traction Management) แถมเน้นการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์และน้ำหนักเบา โดยมีให้เลือกถึง 4 เวอร์ชัน

          
      911 แบบขับเคลื่อนสี่ล้อใหม่ล่าสุดนี้ จะเริ่มทำการเปิดตัวสู่ตลาดถึง 4 เวอร์ชันด้วยกัน คือ 911 คาร์เรร่า 4, 911 คาร์เรร่า 4S ทั้งในรูปแบบคูเป้ (Coupe) และ คาบริโอเลต (Cabriolet) ซึ่งความเป็นสปอร์ตจะเต็มพิกัดเสมือนเวอร์ชันขับเคลื่อนล้อหลัง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบรถให้เน้นเรื่องน้ำหนักเบา ระบบกันสะเทือนหรือช่วงล่าง เครื่องยนต์ และระบบส่งผ่านกำลัง ซึ่งมีเพียงระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อเท่านั้นที่แตกต่างออกไป โดยทั้ง 4 รุ่นมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่น้อยกว่ารุ่นเดิมถึง 16% และมีน้ำหนักที่เบากว่าเดิมถึง 65 กิโลกรัมเลยทีเดียว
ด้านมิติตัวรถ ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นและแตกต่างของ 911 แบบขับเคลื่อนสี่ล้อ คือ ความกว้างของด้านหลังรถ หากเปรียบเทียบกับรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง ซุ้มล้อทางด้านหลังจะขยายกว้างขึ้นข้างละ 22 มม.ยางหลังจะมีความกว้างกว่าเดิม 10 มม.ไฟท้ายแดงที่เชื่อมยาวจากไฟท้ายข้างหนึ่งไปอีกข้างหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ยังคงอยู่แต่ได้มีการพัฒนาออกมาในรูปแบบใหม่
     โดยทุกรุ่นจะติดตั้งระบบส่งผ่านกำลังหรือระบบเกียร์ธรรมดา 7 จังหวะ มาเป็นมาตรฐานให้กับตัวรถ และยังสามารถเลือกติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK เป็นอุปกรณ์เสริมได้ รุ่น 911 คาร์เรร่า 4 คูเป้ มีพละกำลังแรงม้าสูงสุดถึง 350 แรงม้า (257 กิโลวัตต์) และสามารถเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในเวลาเพียง 4.5 วินาที (รุ่นคาบริโอเลตทำได้ในเวลา 4.7 วินาที) โดยมีความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 285 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (รุ่นคาบริโอเลต 282 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ซึ่งขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ติดตั้งด้วย
   สำหรับอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงหากติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK มาด้วยแล้ว สำหรับรุ่นคูเป้จะอยู่แค่เพียง 8.6 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 203 กรัม/กิโลเมตร) ส่วนรุ่นคาบริโอเลตอยู่ที่ 8.7 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 205 กรัม/กิโลเมตร)
ส่วนทั้งรุ่นคูเป้และคาบริโอเลตของ 911 คาร์เรร่า 4 เอส ต่างใช้เครื่องยนต์ขนาด 3.8 ลิตรแบบ boxer ติดตั้งทางด้านหลัง และสร้างพละกำลังเครื่องยนต์สูงสุดถึง 400 แรงม้า (294 กิโลวัตต์) ทำให้สร้างอัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ในระยะเวลาเพียงแค่ 4.1 วินาทีเท่านั้น (รุ่นคาบริโอเลต : 4.3 วินาที) ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 299 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (รุ่นคาบริโอเลต 296 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) และอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงหากติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK สำหรับรุ่นคูเป้อยู่ที่ 9.1 ลิตร/100 กิโลเมตร (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 215 กรัม/กิโลเมตร) ส่วนรุ่นคาบริโอเลตอยู่ที่ 9.2 ลิตร/100 กิโลเมตร (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์อยู่ที่ 217 กรัม/กิโลเมตร)
   ใน 911 คาร์เรร่า 4 ใหม่นี้จะมีเมนูใหม่ที่แผงหน้าปัดเพื่อทำการแจ้งเตือนผู้ขับขี่ว่าระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ PTM นั้น กำลังกระจายพละกำลังเครื่องยนต์อย่างไร ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีระบบ Adaptive Cruise Control (ACC) ให้เลือกติดตั้งได้ในทุกๆ รุ่น เพื่อควบคุมระยะห่างและความเร็วของรถอีกด้วย หากติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK มาด้วยแล้วนั้น ระบบ ACC จะเพิ่มฟังก์ชั่นความปลอดภัย Porsche Active Safe (PAS) เพื่อช่วยป้องกันการชนทางด้านหน้า ไม่เพียงเท่านี้ ปอร์เช่ยังนำเสนอกระจกซันรูฟใหม่ล่าสุดให้ติดตั้งเป็นอุปกรณ์เสริมที่สามารถเลือกติดตั้งได้สำหรับ 911 คาร์เรร่า คูเป้ อีกด้วย และหากติดตั้งระบบเกียร์มาตรฐานและระบบ Sport Chrono Pack มาด้วยนั้นจะสามารถเพิ่มความเป็นสปอร์ตมากยิ่งขึ้น หากอยู่ในโหมดสปอร์ต พลัส ระบบจะทำการ double-declutches ระหว่างลดระดับเกียร์อีกด้วย
สำหรับรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อใหม่นี้ออกมาทดแทนเจนเนอเรชันเดิมที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ซึ่งมียอดขายถึง 24,000 คัน ตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา ถือได้ว่ามีส่วนแบ่งการตลาดจากยอดขาย 997 เจนเนอเรชันที่ 2 ถึง 34% เลยทีเดียว แสดงให้เห็นว่า การพัฒนาของระบบขับเคลื่อนที่ยอดเยี่ยม นั่นคือ 911 ที่มาพร้อมกับการขับเคลื่อนสี่ล้อ อีกทั้งยังมีเครื่องยนต์ที่มาพร้อมกับระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงโดยตรง (Direct petrol injection) ระบบเกียร์อัตโนมัติ (Porsche Doppelkupplung (PDK)) และระบบควบคุมการทรงตัว Porsche Traction Management (PTM) แบบไฟฟ้า ต่อมาในเดือนกรกฎาคม 2011 ปอร์เช่ ส่ง 911 คาร์เรร่า 4 จีทีเอส (911 Carrera 4 GTS) ที่มีเครื่องยนต์ขนาด 3.8 ลิตร และมีพละกำลังสูงสุดถึง 408 แรงม้า (300
ผู้จัดการ

Nissan Sylphy สเปค ราคา


Nissan Sylphy สเปค ราคา
 สิ้นสุดการรอคอยกันสักที สำหรับรถยนต์ซีดานนัมเบอร์ล่าสุดของค่ายนิสสัน อย่าง “Nissan Sylphy” (นิสสัน ซิลฟี) ที่สาวกนิสสันทั้งหลายต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอยกันมาแสนนาน เมื่อได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ววานนี้ (30 สิงหาคม) พร้อมราคาเปิดตัวที่น่าจะโดนใจใครหลายคนอยู่ไม่น้อย
สำหรับ Nissan Sylphy เป็นรถยนต์ที่ทางค่ายผลิตออกมาตีตลาดเพื่อสู้กับคู่แข่งอย่าง Honda Civic, Mazda 3 และ Toyota Altis แทนรุ่น Latio หรือ Tida 4 ประตู ที่ไม่ค่อยเป็นที่นิยมมากนัก ส่วน Nissan Sylphy มีเครื่องยนต์ 2 ขนาดให้เลือกทั้ง 1.6 ลิตร และ 1.8 ลิตร ให้เลือกสรรตามการใช้งาน
ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกของ Nissan Sylphy เรียกได้ว่าสวยงามและเรียบหรู ดูโอ่อ่าและภูมิฐาน ตามสไตล์นิสสัน แต่แฝงไปด้วยออปชั่นที่ทันสมัย และระบบความปลอดภัยเป็นเลิศ ถึงแม้ว่าการออกแบบด้านหน้าจะคล้ายกับรุ่น Almera อีโคคาร์ 4 ประตู แต่ Nissan Sylphy จะโดดเด่นสะกดทุกสายตา ด้วยไฟ LED ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ที่โฉบเฉี่ยวทุกมุมมอง
สำหรับ Nissan Sylphy จะมีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีเทา (Deep Iris Grey), สีขาวมุก (White Pearl), สีดำ (Black Star), สีเงิน (Brilliant Silver), สีแดง (Radiant Red) และสีเกรย์ยิช บรอนซ์ (Greyish Bronze) ซึ่งตามรายงานข่าวแจ้งมาว่าจะวางจำหน่ายทั้งหมด 6 รุ่น โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 746,000 บาท ถึง 931,000 บาท
ที่มา kapook ภาพจาก อินเตอร์เน็ต

Mazda Minagi สเปค ราคา


Mazda Minagi สเปค ราคา
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก MAZDA
เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่ได้น้อย สำหรับการเปิดตัวยานยนต์นัมเบอร์ล่าสุดของค่าย “มาสด้า” (Mazda) อย่าง “มินากิ” (Minagi) เมื่อไม่นานมานี้ ล่าสุดทาง บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้นำ มินากิ ข้ามน้ำข้ามทะเลจากประเทศญี่ปุ่น มาให้ชาวไทยได้ยลโฉมกันอย่างใกล้ชิดแล้ว ในงาน “Motor Show 2012″ เมืองทองธานี ในวันที่ 28 มีนาคม – 8 เมษายน 2555
mazda minagi
สำหรับรถต้นแบบ มินากิ เปิดตัวอย่างอลังการครั้งแรก ในงานเจนีวามอเตอร์โชว์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งทางมาสด้าเผยนวัตกรรมใหม่ล่าสุดที่เรียกกันว่า “โคโด ดีไซน์” นับได้ว่าเป็นรถเจเนอเรชั่นใหม่ของมาสด้าเลยก็ว่าได้ โดยการออกแบบ “โคโด มาสด้า มินากิ” เป็นการปฏิวัติเทคโนโลยีดั้งเดิม มานำเสนอในรูปแบบที่แสดงออกถึงอารมณ์ และสมรรถนะการขับขี่ที่ตื่นเต้นเร้าใจมากกว่าเดิม ซึ่งก็สร้างความตื่นตาตื่นใจ ให้กับลูกค้าเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ มินากิ ยังได้ติดตั้งระบบขับเคลื่อนและโครงสร้างแบบ “SKYACTIV” ซึ่งจะช่วยทำให้น้ำหนักของรถลดลงไปอย่างมาก แต่ยังคงระดับความปลอดภัยเอาไว้เช่นกัน
ส่วนคอนเซ็ปต์ในการพัฒนาเทคโนโลยีสุดล้ำ เพื่อมาเป็น มินากิ นั้น ได้แรงบันดาลใจจากการเคลื่อนไหวของสัตว์ และมนุษย์ จึงถูกออกแบบด้วยองค์ประกอบที่ผสมผสานกันระหว่าง ความแข็งแรง กับความคล่องแคล่ว ปราดเปรียว และกระฉับกระเฉง อีกทั้งยังตอบสนองการใช้งานอย่างอิสระ ด้วยรูปทรงสุดหรู กระทัดรัด และนำสมัย ดูลงตัว และพร้อมดึงดูดทุกสายตาเมื่อยามขับขี่โลดแล่นไปบนถนน
แต่ถ้าใครอยากทราบรายละเอียดของเครื่องยนต์นั้น คงต้องอดใจรอกันอีกสักนิด เพราะว่าทางมาสด้ายังขออุบไว้ก่อน รอไว้ไปลุ้น พร้อมยลโฉม มินากิ คันเป็น ๆ กันที่งาน Motor Show 2012 ส่วนใครที่สนใจจับจองซื้อรถยนต์มาสด้าด้วยอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง 2.35%  แถมประกันชั้น 1 ให้ฟรี! ก็ไม่ควรพลาดงานนี้ทุกประการ เพราะทางมาสด้าเขามอบข้อเสนอสุดพิเศษให้เฉพาะงานนี้งานเดียวเท่านั้น
ขอบคุณบทความจากเเลภาพจาก kapook

Volkswagen Amarok รุ่นใหม่ล่าสุด ราคา


Volkswagen Amarok รุ่นใหม่ล่าสุด ราคา
ช่วงนี้หากจะพูดถึงเรื่องราวข่าวสารต่าง ๆ ในแวดวงยานยนต์แล้ว งานใหญ่ระดับประเทศอย่าง”Motor Expo 2012″ ที่กำลังจะจัดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ดูจะเป็นที่พูดถึงและเป็นที่รอคอยของเหล่าคนรักรถกันพอสมควร เพราะในงานนี้ จะมีรถรุ่นใหม่ ๆ จากค่ายดังต่าง ๆ นานา ตบเกียร์เดินหน้าพร้อมมานำเสนอกันอย่างเต็มที่
volkswagen amarok
ทั้งนี้ทั้งนั้น หากใครที่ชื่นชอบขับขี่รถกระบะเป็นพิเศษ ก็คงจะให้ความสนใจกับข่าวนี้พอสมควร เมื่อล่าสุดทาง ”Volkswagen” ค่ายรถดังจากประเทศเยอรมนี ได้เปิดเผยให้ทราบแล้วว่าพวกเขาจะส่งกระบะน้องใหม่อย่าง ”Amarok” มาให้คนไทยเราได้เห็นและได้จับจองเป็นเจ้าของกันแล้วด้วยสนนราคาที่ 1.8 ล้านบาท
สำหรับ Volkswagen Amarok จะเป็นกระบะขับเคลื่อน 4 ล้อ ซึ่งใช้เครื่องยนต์ดีเซลขนาด 2.0 ลิตร TDI Bi Turbo พร้อมกำลังสูงสุดที่ 177 แรงม้า ขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์ ZF 8 สปีด โดยสามารถปรับการขับขี่ในโหมดสปอร์ตและระบบปกติได้ อีกทั้งในส่วนของความปลอดภัย ก็จะมีระบบเบรคป้องกันล้อล็อค ABS และ ระบบควบคุมการทรงตัว ESP มาด้วย
ด้าน ”ไทยยานยนต์” ในฐานะผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ค่าย Volkswagen ในประเทศไทย ได้ประกาศอย่างชัดเจนแล้วว่า ทาง Volkswagen พร้อมส่ง Amarok มาลุยตลาดรถกระบะในบ้านเราอย่างเต็มตัว โดยการนำเอาจุดเด่นอย่าง ระบบเกียร์ ZF ซึ่งตามปกติจะติดตั้งเฉพาะรถระดับหรูเท่านั้น มาใส่ในกระบะคันนี้ ซึ่งจะช่วยให้การขับรถกระบะ จะนุ่มนวล เงียบ และแรงกว่ากระบะอื่น ๆ ทั่วไป
ว่ากันว่า Volkswagen Amarok จะจับกลุ่มลูกค้าระดับ B+ ที่ชื่นชอบกิจกรรมท้าทายสำหรับคนรุ่นใหม่และตอบสนองสำหรับครอบครัวยุคใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยจะกำหนดราคาเริ่มต้นไว้ที่ 1,800,000 บาท ซึ่งหากใครที่สนใจก็อดใจรอกันอีกสักนิด เพราะช่วงปลายปีนี้ก็จะได้เห็น Amarok ตัวจริงเสียงจริงกันแล้ว

ฮาร์เลย์ เดวิดสัน 1940 สุดยอดคลาสสิค


ฮาร์เลย์ เดวิดสัน 1940 สุดยอดคลาสสิค
แม้ว่าในช่วงรอยต่อระหว่างทศวรรษที่ 30-40 ค่ายผู้ผลิตรถจักรยานยนต์สัญชาติอเมริกันอย่าง “ฮาร์เลย์ เดวิดสัน” จะต้องทำหน้าที่หลักโดยการส่งผลผลิตเข้าร่วมสมรภูมิรบระดับนานาชาติ สำหรับใช้เป็นยานพาหนะของเหล่าหทารหาญในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
        
 ขณะเดียวกันในด้านสายการผลิตเพื่อวางจำหน่ายให้กับสิงห์นักบิดก็ยังเปิดทำการควบคู่กันไป โดยรูปโฉมจะมีความแตกต่างกันตามลักษณะการใช้งาน และสำหรับคันที่ “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” นำมาให้ชมคันนี้ก็คือ ผลผลิตของฮาร์เลย์ เดวิดสัน ปี 1940 ในโฉมของรูปแบบพลเรือนนั่นเอง
“กว่าจะรวบรวมอะไหล่เพื่อบูรณะให้เป็นคันสมบูรณ์ และวิ่งใช้งานได้ปกติแบบนี้ ผมต้องใช้ความอดทนรอคอยนานกว่า 3ปี” เจ้าของรถผู้มีพื้นเพมาจากจังหวัดนครสวรรค์ หรือมีชื่อเรียกเป็นที่รู้จักในแวดวงรถโบราณว่า “โจ-นครสวรรค์” เริ่มต้นเล่าถึงความเป็นมาของสองล้อคันโปรดด้วยความภาคภูมิใจ
 “ตัวรถผมเน้นเดิมๆ ทุกอย่าง ตั้งแต่ระบบเครื่องยนต์อันเป็นเอกลักษณ์สูบวีทวิน ขนาด 1,200 ซีซี. ไซด์วาล์ว เสื้อเหล็ก ระบายความร้อนด้วยอากาศ สตาร์ทเท้า เกียร์มือ 4 สปีด โดยเฉพาะระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยคาร์บูเรเตอร์ทองเหลืองทั้งดุ้น ซึ่งถือเป็นเจเนอเรชันแรกๆ ของฮาร์เลย์ เดวิดสันก็ว่าได้”
ของดีหาดูยาก คาร์บูเรเตอร์ผลิตจากทองเหลืองทั้งลูก
โจ นครสวรรค์ เล่าต่อว่า ในด้านสมรรถนะการใช้งานไม่มีงอแง ซิ่งออกทริปพร้อมคลับวินเทจไบค์ ไทยแลนด์ ไป-กลับ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ได้อย่างชิลๆ ด้วยความเร็วเฉลี่ย 65 ไมล์/ชม. หรือประมาณ 100 กม./ชม.              “การขับขี่ควบคุมอาจจะดูแปลกไปสักหน่อย เพราะใช้การเหยียบคลัทช์เหมือนรถยนต์คือเท้าซ้าย เปลี่ยนเกียร์ด้วยมือข้างๆ ถังน้ำมัน คันเร่งที่แฮนด์ด้านซ้ายใช้เร่งองศาไฟจุดระเบิด ส่วนด้านขวาใช้เร่งการจ่ายเชื้อเพลิงให้เครื่องยนต์ สองส่วนนี้ต้องสมดุลกัน ส่วนผสมมันถึงจะกลมกล่อมวิ่งได้อย่างสมบูรณ์ ขณะที่เบรกหน้าอยู่แฮนด์ซ้าย เบรกหลังอยู่ที่เท้าขวาเหมือนมอเตอร์ไซค์ทั่วไป”
ครั้นถามถึงอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน เจ้าของรถยิ้มก่อนตอบว่า “ไม่ต้องพูดถึงครับ เพราะเป็นของคู่กันกับรถโบราณอยู่แล้ว ถ้าจะให้ไปเปรียบเทียบกับรถใหม่ยิ่งพวกหัวฉีดมันเป็นรถคนละกลุ่ม พวกนั้นสำหรับวิ่งใช้งานในชีวิตประจำวัน แต่อย่างคันนี้เอาไว้ขี่ทางไกลท่องเที่ยว หรือเอาไปโชว์ตัวตามงานรวมรถโบราณต่างๆ”              สำหรับงบประมาณที่ทุ่มลงไป ให้กับฮาร์เลย์ เดวิดสัน ปี 1940โฉมพลเรือนคันนี้ เจ้าของรถเล่าอย่างตรงไปตรงมาว่า ต้นทุนตัวเลขเกินกว่า 7 หลักไปแล้ว ของแต่งบางส่วนต้องไปแข่งประมูลตามอีเบย์ หากเป็นของแท้ตรงรุ่นราคาก็ยิ่งแพงและหายาก ดังนั้น อย่าแปลกใจว่าอุปกรณ์บางส่วนที่เห็นจะเป็นของที่ผลิตในยุคนี้ ด้วยเหตุผลที่ว่าหาง่ายกว่าจึงต้องยอมใช้ทดแทนกันไป
 “ของแต่งที่ใส่เพิ่มมีกันล้มรอบคัน ดุมล้อโครเมียมหน้า-หลัง ขอบคิ้วข้างถังน้ำมัน เบาะไอ้เข้พร้อมสปริงรับน้ำหนักสำหรับคนซ้อนท้าย (เบาะเดิมนั่งได้คนเดียว) กระเป๋าข้าง 2 ใบ และสปอร์ตไลท์อีก 2 ดวง”
เบรกหน้าอยู่ที่แฮนด์ฝั่งซ้าย พร้อมปุ่มแตรและสวิตซ์สัญญาณไฟสูง
สองล้อโบราณหนึ่งในมรดกยานยนต์ที่มีจุดกำเนิดมาตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งตกทอดมาถึงปัจจุบันนี้ โจ นครสวรรค์ ยืนยันว่ามีไม่ถึง 10 คันในเมืองไทย เพราะคนเล่นเฉพาะกลุ่ม เห็นรถก็รู้ว่าเจ้าของคือใคร และถ้านับเฉพาะในกรุงเทพ รุ่นโฉมพลเรือนแบบนี้มีอยู่แค่ 3 คันเท่านั้น
ที่มา ผู้จัดการ